5 พฤติกรรมการใช้จ่ายที่ทำให้คุณจนโดยไม่รู้ตัว

หยุดวงจรการเงินติดลบ รู้ทันนิสัยเสียทางการเงินที่แอบดูดเงินจากกระเป๋าคุณทุกเดือน

5 พฤติกรรมการใช้จ่ายที่ทำให้คุณจนโดยไม่รู้ตัว

คุณเคยรู้สึกไหมว่า “ทั้งเดือนทำงานแทบตาย แต่เงินไม่พอใช้” หรือ “ไม่เคยมีเงินเก็บเลยทั้งที่ไม่ได้ซื้อของใหญ่”? ถ้าใช่ อาจเป็นเพราะ พฤติกรรมการใช้เงินบางอย่างที่คุณทำอยู่เป็นประจำ โดยไม่รู้ว่ามันคือสาเหตุที่ทำให้เงินหายไปทีละน้อย…แต่ต่อเนื่อง

ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปรู้จักกับ 5 นิสัยการใช้จ่าย ที่ดูเหมือนไม่มีอะไร แต่ส่งผลร้ายแรงต่อการเงินในระยะยาว โดยเฉพาะในบริบทของคนไทยยุคใหม่ที่รายได้ไม่โตทันรายจ่าย

1. เสียเงินกับของเล็กน้อยทุกวัน (แต่สะสมจนกลายเป็นก้อนใหญ่)

กาแฟแก้วละ 80 บาททุกเช้า ชานมไข่มุกทุกบ่าย หรือขนมหน้าร้านสะดวกซื้อที่ซื้อ “ติดไม้ติดมือ” — อาจดูเป็นเรื่องเล็ก ๆ แต่เมื่อรวมกันทั้งเดือน กลายเป็นเงินหลายพันบาท

ตัวอย่างง่าย ๆ:

  • กาแฟ 80 บาท × 20 วัน = 1,600 บาท
  • ชานม 60 บาท × 15 วัน = 900 บาท
  • ขนม 30 บาท × 20 วัน = 600 บาท

รวมทั้งหมดเดือนละ 3,100 บาท ซึ่งเทียบเท่ากับค่าสาธารณูปโภคทั้งเดือน หรือเงินเก็บรายเดือนของหลายคน

ทางออก: จำกัดงบรายวัน ใช้แอปบันทึกรายจ่าย และเลือกซื้อเฉพาะที่จำเป็นหรือมีคุณภาพ

2. ซื้อของออนไลน์แบบ “ไม่รู้ตัว” เพราะโปรโมชั่นลวงตา

แพลตฟอร์มอย่าง Lazada, Shopee หรือ TikTok Shop มีโปรโมชั่นกระตุ้นให้คนซื้ออยู่ตลอด เช่น “ส่งฟรี”, “ลด 50%”, “เหลือเวลาอีก 1 ชั่วโมง” — ทำให้หลายคนกดซื้อแม้ไม่ได้ต้องการของนั้นจริง ๆ

การซื้อแบบนี้ไม่ใช่การลงทุน แต่มักเป็น การปล่อยให้อารมณ์ควบคุมกระเป๋าตังค์ และเมื่อสิ้นเดือนมาถึง ยอดเงินในบัญชีเหลือไม่พอจ่ายของจำเป็น

ทางออก: ถามตัวเองทุกครั้งก่อนกดสั่งว่า “ฉันต้องใช้สิ่งนี้จริงหรือเปล่า?” และตั้งงบเดือนละเท่าไหร่สำหรับของฟุ่มเฟือย

3. ใช้บัตรเครดิตเกินตัว โดยไม่ชำระเต็มจำนวน

บัตรเครดิตไม่ใช่ผู้ร้าย ถ้าใช้เป็น มันช่วยให้คุณสะสมคะแนน รับสิทธิพิเศษ และจัดการค่าใช้จ่ายได้ง่ายขึ้น

แต่คนไทยจำนวนมาก (โดยเฉพาะวัยทำงานอายุ 25–40 ปี) ใช้บัตรเครดิตแบบ “จ่ายขั้นต่ำ” หรือหมุนหนี้โดยไม่รู้ว่าดอกเบี้ยบัตรสูงถึง 18–20% ต่อปี

ทางออก: ใช้บัตรเครดิตเฉพาะเมื่อมีแผนจ่ายคืนเต็มจำนวน และอย่ามีบัตรมากเกินความสามารถในการควบคุม

4. ซื้อของเพื่อ “ภาพลักษณ์” มากกว่า “ความจำเป็น”

ในสังคมเมืองของไทย การแสดงสถานะผ่านแบรนด์ เสื้อผ้า โทรศัพท์ หรือไลฟ์สไตล์หรูหราเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะในโซเชียลมีเดีย

หลายคนยอมผ่อนมือถือรุ่นใหม่ราคาเกิน 40,000 บาท ทั้งที่ใช้แค่เล่น LINE และดู TikTok หรือใช้เงินกับแบรนด์หรูเพียงเพื่อถ่ายลง IG

ปัญหาคือรายได้ไม่โตทันการบริโภคแบบนี้ ทำให้หนี้เพิ่มและไม่มีเงินเก็บระยะยาว

ทางออก: ตั้งเป้าหมายการเงินให้ชัดเจน เช่น ซื้อบ้าน หรือเก็บเงินฉุกเฉิน แล้วถามตัวเองทุกครั้งว่า “สิ่งนี้ช่วยให้เป้าหมายเข้าใกล้ขึ้นไหม?”

5. ไม่วางแผนรายจ่ายล่วงหน้า ใช้ก่อนคิดทีหลัง

คนจำนวนมากไม่มีงบประมาณรายเดือนที่ชัดเจน ทำให้ไม่รู้ว่าเงินหมดไปกับอะไร หรือว่าใช้จ่ายเกินในหมวดไหน เช่น ค่าอาหาร ค่ารถ ค่าความบันเทิง

พอถึงกลางเดือนก็ต้องรูดบัตรหรือขอยืมเงินคนอื่น — วนลูปแบบนี้ทำให้ติดหนี้โดยไม่รู้ตัว

ทางออก: แบ่งรายรับออกเป็น 3 ส่วน: ค่าใช้จ่ายจำเป็น, เงินเก็บ, และค่าความสุข ใช้แอปจัดงบประมาณ เช่น Money Lover หรือ Piggipo ช่วยควบคุม

พฤติกรรมเล็ก ๆ แต่ผลลัพธ์ยิ่งใหญ่ในระยะยาว

นิสัยที่ดูเล็กน้อยเหล่านี้เมื่อสะสมกันไปเรื่อย ๆ จะกลายเป็น ปัญหาการเงินเรื้อรัง โดยที่คุณไม่รู้ตัว ไม่ว่าจะเป็นไม่มีเงินเก็บ หนี้สะสม หรือความเครียดทางการเงิน

แต่ข่าวดีคือ คุณสามารถเริ่มแก้ได้ตั้งแต่วันนี้ ด้วยการหยุดพฤติกรรมที่ไม่จำเป็น และเปลี่ยนวิธีคิดเรื่องเงินให้ชัดเจนขึ้น

คำแนะนำเพิ่มเติมสำหรับคนไทยยุคใหม่

  • อย่าซื้อเพื่อ “ความรู้สึกดีชั่วคราว” ให้ซื้อเพื่อตอบโจทย์ระยะยาว
  • หากใช้แอปจ่ายเงิน (e-wallet) เช่น TrueMoney, Dolfin, Line Pay ให้ตั้งงบใช้รายวัน
  • อย่าหลงกับโปร “ผ่อน 0%” หากคุณไม่มีแผนจ่ายครบในกำหนด
  • หมั่นเช็กยอดใช้จ่ายทุกสัปดาห์ ปรับงบเมื่อจำเป็น
  • ลงทุนเวลาเพื่อเรียนรู้เรื่องการเงิน เช่น ดูคลิปความรู้ หรืออ่านเพจเกี่ยวกับงบประมาณ

หากคุณกำลังสงสัยว่าทำไมเงินถึงไม่พอ หรือเก็บเงินไม่อยู่ ลองสำรวจดูว่า คุณกำลังตกอยู่ใน 5 พฤติกรรมนี้อยู่หรือไม่

เพราะในยุคที่ค่าครองชีพสูง รายได้โตช้า และหนี้ครัวเรือนในไทยอยู่ในระดับเกือบ 90% การควบคุมพฤติกรรมการใช้จ่ายเป็นสิ่งสำคัญกว่าการหารายได้เพิ่มเสียอีก

เริ่มจากการตระหนัก รู้ทัน แล้วลงมือปรับพฤติกรรม คุณจะเห็นผลลัพธ์ที่เปลี่ยนแปลงได้ในไม่กี่เดือน และวางรากฐานทางการเงินที่มั่นคงในระยะยาว